วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ทดสอบการสร้างบทความครั้งที่ 1



  รถยนต์ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ใช้สำหรับในการเดินทางหรือที่เราๆเข้าใจกันว่า เป็น “ พาหนะ ”
การที่ใช้รถยนต์สำหรับการเดินทางหาเป็นเช่นนั้นอย่างเดียวไม่  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบำรุงรักษาควบคู่กันไปอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะได้ถูกใช้งานก็ตาม การที่ได้ซื้อรถยนต์นั้นก็เพื่อการใช้งานคงเป็นไปไม่ได้ที่จะจอดไว้เฉยๆหรือมีการปล่อยปะละเลยกันนะครับ  ทางผู้ผลิตรถยนต์ได้วิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้วว่า การที่มีการบำรุงรักษาตรงตามระยะที่กำหนด จะช่วยให้รถยนต์มีความสมบูรณ์พร้อมทุกเวลาของการใช้งาน  จึงถือเป็นเรื่องที่จำเป็นครับ จึงได้กำหนดระยะเวลา(เดือน) กับระยะทาง(กิโลเมตร) ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาใดถึงก่อนก็ตาม  จะต้องมีการเปลี่ยน, การตรวจเช็ค, การปรับแต่ง และอื่นๆ  ดังนั้นท่านเจ้าของรถไม่ควรละเลย  ถึงแม้ว่าจะใช้รถยนต์น้อยก็ตาม
     การใช้รถยนต์ได้อย่างเต็มที่และถูกต้องจะเกิดความคุ้มค่าอย่างยิ่ง แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันตรงที่ว่า  มีรถยนต์ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้นหรือเอาไว้สำหรับเดินทางยามพักผ่อนท่องเที่ยว  แต่ถึงกระนั้นในเมื่อไม่ใช้ก็ได้มีการติดเครื่องยนต์เป็นประจำ  การกระทำดังกล่าวถือว่าดีในระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงตัวรถยนต์ทั้งหมดครับ  เพราะจะได้ในส่วนหลักของเครื่องยนต์เท่านั้น  ส่วนประกอบอื่นๆหรือกลไกอื่นๆไม่ได้มีการทำงานแต่อย่างใดครับ  ดังนั้น  ทางที่ดีควรให้ชิ้นส่วนอื่นมีการเคลื่อนไหวบ้างก็จะดียิ่งขึ้นและนั่นเป็นสิ่งที่ท่านเจ้าของรถยนต์ไม่ควรมองข้ามกันนะครับ
   สมมุติว่ามีรถยนต์แล้วไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนไปไหนสิ่งที่ถูกผลกระทบเป็นอันดับต้นๆคือ ยางล้อรถยนต์  เพราะเป็นส่วนที่น้ำหนักของรถยนต์ทั้งหมดกดทับเอาไว้  ทำให้โครงสร้างของยาง  อาจจะมีการเสียรูปได้  ถัดมาก็พวกเกียร์และเฟืองท้าย, ลูกปืนต่างๆ,กลไกของระบบเบรก เป็นต้น 
ขอยกตัวอย่างในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ  ซึ่งในคู่มือมีการระบุไว้ว่าจะต้องมีการใช้งานสำหรับขับเคลื่อนสี่ล้ออย่างน้อยเดือนละประมาณ 18 กิโลเมตร  เพื่อให้กลไกมีการทำงานบ้าง  ความสมบูรณ์จะได้พร้อมทุกสถานการณ์  บางท่านอาจมองว่าโอกาสใช้งานแทบไม่มีเลย  ตรงจุดนี้ถึงแม้มิได้ถูกใช้งานแต่เมื่อครบระยะเวลาตามกำหนด  ก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายอยู่ดีนั่นเองครับ
     มีคำพูดกันอยู่บ่อยๆว่า “ใช้รถยนต์น้อยไปก็ไม่ดี  ใช้รถยนต์มากไปก็โทรมเร็ว”  อันนี้ต้องขอบอกว่าเป็นกฎแห่งธรรมชาติอยู่แล้วครับ  สิ่งที่ท่านเจ้าของรถควรเอาใจใส่คือ ให้รถยนต์ของท่านมีการบำรุงรักษาตามที่กำหนด (ถ้าหากใช้คำว่านำรถเข้าซ่อมดูจะมีความรุนแรงเกินไปหน่อยครับ)  ซึ่งรายละเอียดต่างๆศึกษาได้จากคู่มือการใช้รถหรือสามารถสอบถามไปยังศูนย์บริการรถยนต์นั้นๆก็ย่อมได้ครับ
     ขอกลับไปยังผู้ที่ใช้รถยนต์น้อยหรือแทบจะจอดไว้เฉยๆ ต้องขอบอกว่า  ควรจะมีการเคลื่อนไหวรถยนต์บ้าง  หากพบสิ่งที่ผิดปกติจะได้ทราบไปในคราวเดียวกันนั่นเองครับ  นอกจากนั้นถ้าเป็นไปได้ให้ตรวจสอบชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์ด้วย  เอาเท่าที่สามารถที่กระทำได้ก็แล้วกัน  เช่น  มีสิ่งใดที่ผิดปกติที่อยู่ใต้ท้องรถยนต์บ้าง, มีสิ่งใดที่ผิดปกติบริเวณในห้องเครื่องยนต์บ้าง, รวมถึงระดับน้ำและน้ำมันต่างๆ  ก็จะดียิ่งขึ้นครับ
     เคยมีข่าวที่เกี่ยวกับรถยนต์มาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ  มีรถยนต์คันหนึ่งมีการจอดรถยนต์ไว้ไม่นานแล้วจู่ๆจะมีการใช้รถกลับพบว่า  สตาร์ทไม่ติดทั้งๆที่  กำลังไฟของแบตเตอรี่ดี, มอเตอร์สตาร์ทก็ทำงานสมบูรณ์ดี, น้ำมันเชื้อเพลิงก็มี  จึงได้ทำการตรวจเช็คลงลึกลงไปพบว่า  เจ้ามดตัวน้อยๆมีการเข้าไปอยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมากในตัวรีเลย์  ทำให้เกิดการลัดวงจรการต่อเนื่องของระบบจึงขาดหายไป  มีอีกอันหนึ่งแต่อันนี้อาจจะหวาดเสียวหน่อยตรงที่ว่า  มีสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูมาหลับนอนในห้องเครื่องยนต์  กว่าจะทราบก็ต่อเมื่อมีการติดเครื่องยนต์แล้ว คือได้สังเกตเสียงแปลกๆเมื่อเปิดฝากระโปรงห้องเครื่องยนต์แทบผงะ  ตามที่บอกว่าถ้าเป็นไปได้ให้ตรวจสอบบริเวณห้องเครื่องยนต์ก็ด้วยเหตุผลนี่แหละครับ  อย่ามองข้ามกันนะครับ
   สิ่งที่ท่านเจ้าของรถยนต์เอาใจใส่ดูแลรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ  ก็เพื่อรถยนต์ของท่านพร้อมใช้ทุกเวลา  ดังนั้น รถยนต์ของท่านผู้อ่านไม่ว่าจะถูกใช้งานน้อยหรือมากก็ควรมีการบำรุงรักษาอย่างเคร่งครัดแล้วจะพบกับความสมบูรณ์ในรถยนต์ของท่านครับผม

ที่มาของข้อมูล
บริษัท  พิธานพาณิชย์  จำกัด ( กรุงเทพฯ )

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

TEST : ประวัติวันคริสมาสต์



 คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม