วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความที่ 3 : ความสนใจ




ยาคูลท์
       ยาคูลท์ ( ญี่ปุ่น : ヤクルト ) เป็นเครื่องดื่มอย่างนมโปรไบโอติกส์ เกิดจากกระบวนการหมักของนมพร่องมันเนยกับน้ำตาลและแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัส (Lactobacillus casei Shirota) ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่พบในระบบดูดซึมอาหารของมนุษย์ ซึ่งส่งผลช่วยให้ระบบในร่างกายของมนุษย์ทำงานได้ดีขึ้น


ประโยชน์ของแลคโตบาซิลลัสในยาคูลท์
           แลคโตบาซิลลัส เป็น แบคทีเรีย ชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และพบตามธรรมชาติในทางเดินลำไส้ และ ช่องคลอด แลคโตบาซิลลัส ใช้ในการผลิต นมเปรี้ยว และ โยเกิร์ต แลคโตบาซิลลัสช่วยลดระยะเวลาที่เกิดอาการท้องเสียลงมาได้ลงมาถึงสองในสามภายในหนึ่งวัน

ชื่อเสียงเรียงนาม
      ยาคูลท์เป็นนมเปรี้ยวสัญชาติญี่ปุ่น 1000% แปลกตรงที่ชื่อไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่นทั้งที่ประเทศนี้ชาตินิยมจัดมาก ”YAKULT” ชื่อของยาคูลท์มาจากภาษาเอสเปรันโต คำว่า jahurto รูปเก่าของ jogurto ซึ่งหมายถึงโยเกิร์ต แปลตรงตัวว่า "การมีอายุยืนยาว" ยาคูลท์นั้น ศาสตราจารย์ชิโระตะ มิโนะรุ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโต คิดค้นขึ้นใน พ.ศ. 2473 และต่อมาใน พ.ศ. 2478 เขาได้ก่อตั้งบริษัทยาคูลท์ (Yakult Honsha Co., Ltd.) ในเมืองมินะโตะ จังหวัดโตเกียว ปัจจุบันได้มีการผลิตและจำหน่ายยาคูลท์ไปทั่วโลก

อดีตของบรรจุภัณฑ์
          ตั้งแต่ปี 1935 “ยาคูลท์” เคยใช้ขวดแก้วใสกิ๊งมาตลอด สรีระของขวดมีแรงบันดาลใจจาก “Kokeishi” ตุ๊กตาโบราณ จนกระทั่งปี 1968 ปรับเปลี่ยนมาใช้ขวดพลาสติกแบบที่เราเห็น ในปัจจุปัน เพราะต้นทุนถูกกว่าและน้ำหนักเบากว่าขวดแก้ว รวมกันหลายขวดก็หลายกิโล ทำให้สาวยาคูลท์ในยุคใหม่ไม่ต้องแบกขวดแก้วหนักๆ เหมือนในอดีต


ประโยคเด็ดของสาวยาคูลท์ ---> "ถามสาวยาคูลท์ดูสิคะ"
             เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อยาคูลท์ในอดีตเป็นแม่บ้าน การมีคนส่งยาคูลท์เป็นผู้หญิงและแนะนำเรื่องสุขภาพให้ผู้หญิงด้วยกันฟัง จะทำให้รู้สึกสนิทใจกันมากกว่า ประหนึ่งรายการผู้หญิงถึงผู้หญิงนั่งเม้าส์ม้อยส์ เพราะฉะนั้น “สาวยาคูลท์” จึงถือกำเนิดขึ้นมาด้วยเหตุนี้ตั้งแต่ ค.ศ. 1963

ความลับจากบริษัทในญี่ปุ่น
          "ตั้งแถว – ตบมือ – สู้โว้ย!!" บริษัทยาคูลท์ประเทศญี่ปุ่นมีธรรมเนียมแสนเก๋จนต้องยกนิ้วให้ เพราะพนักงานในบริษัทยาคูลท์ และพี่ๆ ร.ป.ภ.จะตั้งแถวตบมือทุกครั้งเมื่อสาวยาคูลท์ญี่ปุ่นออกไปปฏิบัติหน้าที่เพื่อเรียกขวัญกำลังใจ สู้โว้ย!



‘อหิวาตกโรค’ จุดพลิกยาคูลท์ไทย
       จุดที่พลิกผันจริงๆ  คือ เมื่อปี 2515 เกิดอหิวาตกโรคระบาดแถวปากน้ำ จ.สมุทรปราการ บริษัทยาคูลท์ไทยนำยาคูลท์เพื่อเยียวยาอาการผู้ป่วย ซึ่งตอนนั้นมีที่อาการหนักอยู่ 3 คน ซึ่งถ้าผู้ป่วยจะใช้ยาคูลท์แทนยาจะต้องหยุดดื่มยาทั้งหมด และต้องดื่มยาคูลท์แทนน้ำ ปรากฏว่าสามชั่วโมงผ่านไป คนไข้ที่ดื่มยาคูลท์หยุดถ่าย และกลายเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย ณ บัดนั้น


ยาคูลท์ไทยมีไซส์เดียว ??
     ยาคูลท์รอบโลกมีไซส์ที่แตกต่างกัน เช่น ขวดไซส์ 100 มล. เห็นดาดดื่นที่ สิงค์โปร์ ไต้หวัน และจีน แต่ที่นี่ประเทศไทย มีไซส์เดียวตลอดกาลนั่นคือ 80 มล. และขนาดนี้ก็มีขายเฉพาะเกาหลี มาเลเซีย และอเมริกาเท่านั้น เพราะไซส์นี้มีจุลินทรีย์แลคโตบัลซิลัสมากกว่า 8,000 ล้านตัว เชื่อว่าเพียงพอสำหรับการสร้างสมดุลภายในลำไส้เหมาะกับคนไทย และที่สำคัญ ถ้าดื่มมากเกินไปอาจทำให้เกิดอาการท้องเสีย





 ‘คอคอด’ บอกอะไร !?
      แค่เห็นเงาก็รู้แล้วว่าเป็นยาคูลท์ เพราะขวดนมเปรี้ยวยี่ห้อนี้ดีไซน์ขวดเป็นเอกลักษณ์สุดๆ โดยเฉพาะ “คอคอด” ซึ่งเชื่อว่าให้ถือสะดวกและลิ้มรสช้าๆ จะได้ไม่ดื่มทีเดียวหมด




ยาคูลท์สูตรจุลินทรีย์ทะลัก!
      "Yakult 400LT" คือสูตรเด็ดสำหรับคนรักการขับถ่ายที่สะดวกสะบาย เพราะยาคูลท์ขวดนี้ลดความหวาน ลดแคลอรี่หลายเท่าตัว แต่เพิ่มแลคโตบัลซิลัสตระกูล ”Shirota” เกือบ 400,000 ล้านตัวต่อขวด จากไซส์ปกติมีเพียง 6.5 พันล้านหรือให้เต็มที่ก็แค่ 3 แสนล้านตัวเท่านั้น




อุณหภูมิที่ยาคูลท์ลั้ลลา ~
      เลือกซื้อยาคูลท์จากตู้แช่ที่เก็บไว้ในอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลเซียส เพราะดีกรีความหนาวเยี่ยงนี้จะทำให้ได้จุลินทรีย์ลั้ลลาและพร้อมจะทำงานให้เราได้เต็มที่ค่ะ



เครื่องสำอางยาคูลท์
        กาลครั้งหนึ่ง ณ 1971 ยาคูลท์นึกเปรี้ยวอยากให้ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยงามทั้งภายนอกและภายใน สกัดแบคทีเรียพันธุ์ดีอย่างแลคโตบัลซิลัสเป็นเครื่องสำอางที่มีครบทุกอย่าง และยังมีสาวยาคูลท์เคาะประตูขายตรงถึงหน้าบ้าน จนกระทั่งขายในซาลอนอย่างอลังการ หลังจากนั้นอีก 10 ปี เครื่องสำอางสายพันธุ์ยาคูลท์ต้องปิดตัวลง เพราะผู้บริหารอยากจะเน้นเฉพาะนมเปรี้ยว



ยาคูลท์กำจัดกลิ่นจุดซ่อนเร้น (หรอ ???)
       ความเชื่อที่ว่า ดื่มยาคูลท์แล้วช่วยกำจัดกลิ่นจากจุดซ่อนเร้น เนื่องจากเชื่อกันว่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ชื่อว่า “แลคโตบาซิลัส” ในยาคูลท์เข้าไปทำลายเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวการในการสร้างกลิ่นเหม็นให้กับตรงนั้นของสาวๆ ทั้งหลายได้ แต่ว่า “มันไม่เป็นความจริง”





ที่มาของข้อมูล
'เว็บ 1'
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C

'เว็บ 2' http://www.doyouknow.in.th/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88-12-%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B9%8C-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A2%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89/

'เว็บ 3' http://www.youtube.com/watch?v=JFl9nU0ouY8

วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความที่ 2 : ความสนใจ


รูปภาพจากภาพยนตร์เรื่อง 'Juno'


      การตั้งครรภ์ในวัยรุ่นหรือท้องในวัยทีน คือตั้งครรภ์เมื่ออายุ 19 ปี หรืออ่อนกว่านี้ พบร้อยละ 10-30 ของการตั้งครรภ์ทั้งหมด นับเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทุกประเทศทั่วโลก ภายใน 10 ปีมานี้ ท้องในวัยทีนในประเทศไทย มีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น จากร้อยละ 10 ในปี พ.ศ.2536 เป็นกว่าร้อยละ 20 ในปัจจุบัน นอกจากนั้นอายุของแม่วัยทีนนับวันยิ่งน้อยลง ต่ำสุดพบเพียง 12 ปี ขณะที่ในประเทศสหรัฐอเมริกา แนวโน้มท้องในวัยทีนมีจำนวนลดลงตามลำดับ
   
      ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อการตั้งครรภ์ ได้แก่ ฐานะยากจน เล่าเรียนน้อย ดื่มสุรา ติดยาเสพติด ปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว ซึ่งเป็นปัจจัยที่แก้ไขได้ยาก ปัจจัยหนึ่งซึ่งน่าจะแก้ไขได้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ท้องวัยทีนในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คือ ค่านิยมการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่น






      ทำไมวัยทีนไม่ควรท้อง เหตุผลทางการแพทย์ เช่น เกิดภาวะแทรกซ้อนช่วงตั้งครรภ์ คลอด
หลังคลอดสูงกว่าคนทั่วไป คือ แท้ง ทารกพิการ น้ำหนักน้อย ขาดอาหาร ทารกตายในครรภ์ คลอดยาก ตกเลือดหลังคลอด ฯลฯ และ เหตุผลทางด้านสังคม เศรษฐกิจ จิตวิทยา คือ มารดาต้องหยุดเรียน รายจ่ายสูง รายรับน้อย ครอบครัวยากจนยิ่งขึ้น มารดาเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวล ตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ ทำแท้งเถื่อน ทารกถูกทอดทิ้ง ทารกไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่ ทารกเติบโตมาเป็นปัญหาของสังคม ฯลฯ
รูปภาพจากภาพยนตร์เรื่อง 'Juno'

วัยรุ่นที่สมัครใจมีเพศสัมพันธ์ พบเหตุผลใหญ่ๆ 2 ประการ คือ
       1. มีเพศสัมพันธ์โดยไม่คุมกำเนิด บ้างไม่รู้ว่ามีเพศสัมพันธ์แล้วท้อง บ้างเชื่อโดยไม่มีเหตุผลว่าตนเองไม่ท้อง บ้างคุมกำเนิดไม่เป็น บ้างไม่สนใจคุมกำเนิด บ้างไม่สามารถเข้าถึงการบริการคุมกำเนิด บ้างกลัวการคุมกำเนิด
        2. มีความเชื่อที่ผิดๆ ในการคุมกำเนิดทั้งในวัยรุ่นหญิงชาย เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัยเพราะกลัวถูกว่าสำส่อน รับประทานยาคุมกำเนิด ฉีดยาคุมกำเนิด ทำให้เป็นฝ้า มดลูกแห้ง


         “ปัญหาพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมะสมของวัยรุ่น” กำลังกลายเป็นปัญหาสังคมที่รุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน จากข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่เกิดขึ้นแทบไม่เว้นในแต่ละวัน ทั้งเรื่องเด็กผู้ชายรุมโทรมและข่มขืนเด็กผู้หญิง หรือการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควรจนตั้งครรภ์ การทำแท้ง รวมถึงการติดโรคทางเพศสัมพันธ์ อาทิ โรคเอดส์ ที่ขณะนี้ตัวเลขวัยรุ่นไทยติด “โรคร้าย” นี้เพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าใจหาย และที่เป็นข่าวเกรียวกราวบนหน้าหนังสือพิมพ์เมื่อไม่นานมานี้ คือเรื่องการแสดงพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมบนรถเมล์ การไปเช่าบ้านหรือโรงแรมเพื่อมีเพศสัมพันธ์กันของวัยรุ่น และที่ต้องตกตะลึงไม่น้อย ก็คือผลสำรวจที่ว่าคนไทยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกอายุน้อยลง  ถึงแม้ว่าข้อมูลของผลสำรวจนี้จะมีหลายฝ่ายออกมาคัดค้านและยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าข้อมูลดังกล่าวจะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน  แต่ปัญหาการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นไทยเพิ่มขึ้นก็กำลังเริ่มจะเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมแล้ว พฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสมในกลุ่มวัยรุ่นของไทยนั้น เกิดจากในปัจจุบันเด็กวัยรุ่นไทยส่วนหนึ่งมองว่าการแสดงออกทางพฤติกรรมทางเพศถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา  เนื่องจากเด็กเหล่านี้ได้ซึมซับรับวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาจนลืมรักษาขนบธรรมเนียมและวัฒนธรรมไทยที่ผู้ใหญ่สอนเด็กผู้หญิงไว้ว่าต้องรักนวลสงวนตัว


วิธีการป้องกัน
        การคุมกำเนิดมีหลายวิธี ซึ่งบางคนอาจรู้จักแค่ยาคุมกำเนิดกับถุงยางอนามัย แต่ในความเป็นจริงแล้วมีวิธีคุมกำเนิดหลากหลายวิธีให้เลือกทั้ง โดยวิธีธรรมชาติและอาศัยเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยแต่ละวิธีก็มีความปลอดภัยมากน้อยต่างกัน และมีทั้งข้อดี ข้อเสีย

ถุงยาง
       ถุงยางคือปลอกยางเนื้อบางที่สามารถม้วนออกเพื่อครอบองคชาตขณะแข็งตัว ควรสวมถุงยางตลอดช่วงเวลาการร่วมเพศ ความน่าเชื่อถือของถุงยางจะมีมากขึ้น หากใช้ร่วมกับโฟมหรือครีมฆ่าเชื้ออสุจิ ถุงยางยังสามารถใช้เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น โรคเอดส์ ถุงยางมีจำหน่ายทั่วไป ทั้งในร้านอาหาร ร้านขายยา ปั๊มน้ำมัน ฯลฯ ถุงยางมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้ได้ถูกต้อง




ยาฆ่าอสุจิ
        ยาฆ่าอสุจิใช้ร่วมกับถุงยางอนามัยหรือถุงยางอนามัยสตรี ทั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมสำหรับการคุมกำเนิดหากใช้เพียงอย่างเดียว ผลิตภัณฑ์นี้ทำขึ้นเป็นครีม โฟม เยลลี่หรือยาสอด ยาฆ่าเชื้ออสุจิสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาโดยไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์ นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น



ยาเม็ดคุมกำเนิด
        ยาเม็ดคุมกำเนิดแบบปกติมีจำหน่ายในท้องตลาดมากว่า 30 ปี โดยประกอบด้วยฮอร์โมนสังเคราะห์สองประเภท ได้แก่ เอสโตรเจนและโปรเจสโตเจน ฮอร์โมนทั้งสองชนิดเป็นฮอร์โมนสังเคราะห์ที่ผลิตเลียนแบบฮอร์โมนจากรังไข่ ยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ละชนิดจะมีส่วนประกอบที่ต่างกัน แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำการใช้ยาคุมกำเนิดที่เหมาะสมกับคุณและเขียนใบสั่งยาให้ ยาเม็ดคุมกำเนิดขัดขวางการตกไข่และทำให้ไข่ไม่สามารถฝังตัวลงในผนังมดลูกได้ ยาเม็ดคุมกำเนิดมีความน่าเชื่อถือสูงหากใช้อย่างถูกต้อง จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์เพื่อซื้อยาเม็ดคุมกำเนิด คำเตือน : หญิงอายุเกิน 35 ปีและสูบบุหรี่ไม่ควรใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด รวมทั้งผู้หญิงที่มีปัญหาเส้นเลือดอุดตัน มะเร็งเต้านม โรคหัวใจหรือโรคร้ายแรงทางตับ




แผ่นคุมกำเนิด
        จะมีปริมาณเอสโตรเจนและโปรเจสโตโลนในระดับเท่ากับยาเม็ดคุมกำเนิดแต่ปริมาณการใช้ยาต่ำที่สุด ฮอร์โมนจะถูกปล่อยออกมาผ่านทางผิวหนัง แผ่นคุมกำเนิดควรจะเปลี่ยนในวันเดียวกันของแต่ละสัปดาห์รวมเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หลังจากใช้แผ่นคุมกำเนิดไปแล้ว 3 สัปดาห์ คุณต้องหยุดพัก 1 สัปดาห์ก่อนใช้แผ่นคุมกำเนิดใหม่ในวันเดียวกันของสัปดาห์ แผ่นคุมกำเนิดใช้เพื่อป้องกันการตกไข่ สามารถหาซื้อแผ่นคุมกำเนิดได้จากร้านขายยาโดยต้องมีใบรับรองแพทย์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเชื่อถือได้พอกับยาเม็ดคุมกำเนิด





ยาฝังคุมกำเนิด
        ยาฝังคุมกำเนิดมีจำหน่ายในนอร์เวย์อยู่สองประเภทด้วยกัน โดยมีขนาดเท่ากับไม้ขีดไฟและประกอบด้วยฮอร์โมนโปรเจสโตเจนสังเคราะห์ ใช้โดยการสอดเข้าใต้ท้องแขนของผู้หญิงเป็นระยะเวลาสามถึงห้าปี ขึ้นอยู่กับชนิดที่ใช้ โดยแพทย์จะเป็นผู้ฝังตัวยา ยาฝังคุมกำเนิดทำงานโดยป้องกันการตกไข่และส่งผลต่อการสร้างเมือกบริเวณปากมดลูกทำให้เชื้ออสุจิไม่สามารถเข้าถึงมดลูกและท่อรังไข่ได้ ยาฝังคุมกำเนิดเป็นวิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้


การทำหมัน
       การทำหมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการคุมกำเนิด ผู้ชายหรือผู้หญิงที่ทำหมันจะไม่สามารถมีบุตรได้ หากทำหมันแล้วการแก้ไขในภายหลังจะทำได้ยาก ดังนั้นจึงควรคิดให้รอบคอบก่อนตัดสินใจทำหมัน

การคุมกำเนิดฉุกเฉิน
       หากมีเพศสัมพันธ์ในช่วงที่ฝ่ายหญิงตกไข่ โอกาสในการตั้งครรภ์จะอยู่ที่ 20% หากคุณมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้วิธีการคุมกำเนิดในช่วงนี้ คุณสามารถซื้อยาคุมกำเนิดฉุกเฉินได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ที่ร้านขายยา ยาเม็ดเหล่านี้ประกอบด้วยฮอร์โมนในปริมาณสูงซึ่งจะต้องใช้ภายใน 72 ชั่วโมงหลังการมีเพศสัมพันธ์ สิ่งสำคัญคือคุณจะต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพหลังจากผ่านไปสามถึงสี่สัปดาห์เพื่อตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์หรือไม่ ยาชนิดนี้อาจส่งผลต่อตัวอ่อนหากมีการตั้งครรภ์เกิดขึ้น หรืออาจสวมห่วงคุมกำเนิดภายในห้าวันหลังการร่วมเพศที่เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์





วิธีการคุมกำเนิดที่เชื่อถือไม่ได้

ช่วงปลอดภัย (หน้าเจ็ดหลังเจ็ด)
       ตามทฤษฎี เราสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้หากไม่มีการร่วมเพศในช่วงที่ผู้หญิงกำลังตกไข่ แต่เป็นวิธีการที่เชื่อถือไม่ค่อยได้เนื่องจากระยะเวลาและรอบเดือนของช่วงการตกไข่ของแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป

วิธีการหลั่งภายนอก
        หากการร่วมเพศถูกขัดขวางก่อนการหลั่งเชื้ออสุจิ อาจช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ อย่างไรก็ตามวิธีการนี้ไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก เชื้ออสุจิบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอดก่อนการหลั่งเกิดขึ้น ทำให้เชื้ออสุจิที่ผิวหนังรอบ ๆ ปากมดลูกเคลื่อนตัวเข้าไปในปากมดลูกได้



ที่มาของข้อมูล
'เว็บที่ 1' http://www.learners.in.th/blogs/posts/354860
'เว็บที่ 2' http://introthai.cappelendamm.no/c41426/artikkel/vis.html?tid=42043
'เว็บที่ 3' http://www.youtube.com/watch?v=8ht0JIrafAM

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

บทความที่ 1 : ความสนใจ

'Yamaha SR' รุ่นใหญ่ในตำนาน

'YAMAHA' สายพันธุ์ SR 400/500
     รถรุ่นนี้มีอายุการผลิตที่ยาวนานถึง 30 ปี มีการปรับเปลี่ยนโฉม (Minor Change) ทั้งหมด 21 ครั้งตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงปัจจุบัน กระแสความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีท่าทีว่าจะตกยุคแต่อย่างใด
     
     YAMAHA ตระกูล SR 400/500 ได้เริ่มสายการผลิตในครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1978 โดยเริ่มผลิตด้วยรุ่น 500 ก่อน ซึ่งได้ใช้เครื่องยนต์ของรถแนววิบากรุ่นพี่คือ Yamaha XT 500 ที่เริ่มผลิตปี 1976 เป็นต้นแบบ หลังจากนั้นจึงผลิตรุ่น 400 ตามออกมา ด้วยการออกแบบรูปทรงเพื่อสนองความต้องการในยุคสมัยนั้น (ยุครุ่งเรืองของรถมอเตอร์ไซค์จากเมืองผู้ดีอังกฤษ) 
     เครื่องยนต์สี่จังหวะ สูบเดียว 400 และ 500 cc. ระบบการไหลเวียนของน้ำมันเครื่องโดยใช้เฟรมของตัวรถ ซึ่งเป็นที่ต้องตาต้องใจวัยรุ่นยุคนั้นอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว และได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็ได้มีการปรับเปลี่ยนสีสัน ลายถัง,โลโก้,ระบบเบรค เป็นต้น มีการผลิตรุ่น SP ทั้งหมด 2 รุ่น และ Special Edition ทั้งหมด 4 ครั้ง 

ข้อมูลทางเทคนิคของ SR 400
      - เครื่องยนต์แบบ Single สูบเดียว 4 จังหวะ โอเวอร์เฮดวาล์ว (OHC) 2 วาล์วต่อสูบ ระบายความร้อนด้วยอากาศ
      - รหัสเครื่องยนต์ 2H6 (ไม่มีเลขต่อ) / ปี 1996-2000 2H6 xxxxxx (มีเลข 6 หลัก) / ปี 2001 ถึงปัจจุบัน H313E xxxxxx
      - ความจุกระบอกสูบเท่ากับ 399cc.
      - ความกว้างกระบอกสูบxความยาวช่วงชักเท่ากับ 87.0x67.2
      - อัตราส่วนกำลังอัดเท่ากับ 8.5 : 1
      - แรงม้าที่มีมาให้ใช้ 27 แรงม้า ที่รอบเครื่องยนต์ 7,000 รอบต่อนาที
      - แรงบิด 3.00 กิโลกรัมเมตร ที่ 6,500 รอบต่อนาที
      - ระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง คาร์บูเรเทอร์
      - ระบบตัดต่อกำลังแบบ คลัทช์แบบเปียก 8 แผ่นซ้อน
      - ส่งกำลังผ่าน โซ่และสเตอร์
      - ระบบจุดระเบิดแบบ CDI
      - ระบบเบรคหน้าแบบ ดรัมเบรค/ดิสเบรค (แล้วแต่รุ่นปี)
      - ระบบเบรคหลังแบบ ดรัมเบรค

YAMAHA SR400 และ SR500 แต่ละรุ่นเรียกตามการผลิตออกมาในแต่ละปี
ตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1978 มาจนถึงปัจจุบัน มีการพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ มีรุ่นที่หายาก และเป็นเอกลักษณ์ ดังนี้

SR400/500 ปี 1978 
       ถือกำเนิด เปิดไลน์การผลิต ด้วยดีไซน์ ถังน้ำมันแบบเรียวยาวและฝาถังยาว โลโก้ข้างถังเป็นแบบสติ๊กเกอร์ เป็นตัวอักษรคำว่า YAMAHA ตัวใหญ่ แบบเรียบ (ลายถังของ 400 และ 500 ไม่เหมือนกัน) ส่วนโลโก้ฝาข้างเป็นแบบเรียบเช่นกัน โดยมีตัวอักษรคำว่า SR400 อยู่ในแนวเดียวกัน ปีแรกมีการผลิตรุ่น 400 และ 500 cc. ระบบเบรกหน้าเป็นแบบ ดิสค์เบรค โดยอยู่ด้านซ้ายของวงล้อหน้า ไมล์หน้าดำเข็มเหลืองมีปุ่มไฟสีส้มที่กะโหลกไฟหน้า เท่าที่ดูจากแคตตาล็อค SR400 มีฝาหลัง (หลังเบาะ) ส่วน SR500 ไม่มีแต่จะมีมือจับเหล็กสำหรับคนซ้อนจับแทน SR400 ใช้คาร์บูเรทอร์แบบลูกชัก ส่วน SR500 ใช้คาร์บูเรทอร์แบบลูกชักมีเจ็ทสเปรย์

'YAMAHA' ปี 1978 (ปีแรกของการผลิต)

ปี 1985 เปลี่ยนระบบเบรกหน้าเป็นแบบดรัมเบรก (เริ่มตั้งแต่ปีนี้ไป)

ปี 1988 ลายถังเหมือนกับปี 1985
ปี 1995
ปี 1995 รุ่น SPECIAL EDITION 2 แต่ทำออกมาเฉพาะรุ่น 400S เท่านั้น (ปีนี้ไม่ผลิตรุ่น 500)


SR400/500 ปี 1996
       ปีนี้ผลิตทั้งรุ่น 400 และ 500 มีลวดลายที่แตกต่างและปีนี้เริ่มมีการตอกเลขเครื่อง (2H6 xxxxxx) สำหรับรุ่น400 ส่วนรุ่น 500 ได้ออกเป็นรุ่น GLITTERING BLACK เน้นสีดำเป็นโทนสีหลักซึ่งลวดลายจะไม่เหมือนกับรุ่น 400


SR400/500 ปี 2000
      ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของ SR500 ซึ่งระบบเบรกหน้าเป็นแบบดรัมเบรคหลังจากปีนี้ไปไม่ผลิตรุ่น SR500 แล้วจนถึงปัจจุบันและก็เป็นรุ่นสุดท้ายที่ใช้ระบบเบรกหน้าเป็นดรัมเบรคหลังจากใช้มาเป็นเวลาถึง 15 ปีติดต่อกัน (เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 1985)

YAMAHA SR400 ปี 2002
SR400/500 ปี 2003
      ฉลองครบรอบอีกแล้วครับ 25 ปีแล้วปีนี้มีทั้งรุ่นธรรมดาและ SPECIAL EDITION มาดูกันว่ามีอะไรพิเศษบ้างมาเริ่มที่รุ่นธรรมดากันก่อนเริ่มที่กุญแจฝังไมโครชิป สังเกตุที่หน้าจอของไมล์วัดความเร็ว จะมีไฟรูปเครื่องยนต์และรูปกุญแจเพิ่มขึ้นมาจากรุ่นก่อน ตัวนี้มีข้อห้ามอย่างนึงคือห้ามเอากุญแจสองดอกมาอยู่ติดกันเวลาที่เสียบกุญแจครับระบบมันจะรวนสตาร์ทเครื่องไม่ได้ และอย่าให้มันหายเด็ดขาด เพราะปีนี้เป็นคาร์บูเรเทอร์ไฟฟ้าเชื่อมต่อกับกล่องควบคุมตัดรอบที่ 8,000 รอบเพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดกับเครื่องยนต์
      ต่อไปมาดูรุ่น SPECIAL EDITION กันอุปกรณ์พื้นฐานเหมือนรุ่นธรรมดาเลยครับมีเพิ่มที่สีสันลวดลายตามรูปเลยครับ เบาะสีน้ำตาลแบบเล่นโทนสีอ่อนแก่และตีฟูกลายขวางโลโก้ฝากระเป๋าข้างระบุชัดเจนครับว่าเป็นรุ่น SPECIAL EDITION เหมือนกับที่แฮนด์ตรงกลางเช่นกันระบุไว้ให้เห็นเด่นชัด แผงคอสีดำคาลิปเปอร์เบรกสีดำและสปริงหลังดำแผ่นกัน หินบริเวณใต้เครื่องชุบโครเมี่ยม

กุญแจฝังไมโครชิฟ (ปีนี้เป็นคาร์บูเรเทอร์ไฟฟ้าเชื่อมต่อกับกล่องควบคุม)
SR400/500 ปี 2005
      ปีนี้ออกมา 2 รุ่น มีรุ่นธรรมดาและ SPECIAL EDITION (ครั้งที่4) รุ่นธรรมดาเด่นที่ตัวถังน้ำมันสีแดง ตัดลายขาวสีเฟรมเป็นสีบรอนซ์ ครั้งแรกอีกเช่นกันที่ทำเฟรมสีบรอนซ์รุ่น SPECIAL EDITION ฉลอง YAMAHA มีอายุครบ 50 ปี "50th ANNIVERSARY" ทำสีสันลวดลายย้อนกลับไปเมื่อปีเกิดอีกครั้ง (1978 ไมล์เป็นแบบหน้าดำและคาลิปเปอร์เบรกสีดำตามคาด คิดว่ารุ่นนี้น่าจะใช้ลูกสูบของ SR500)

ฉลอง YAMAHA SR อายุครบ 50 ปี (50th ANNIVERSARY)

ที่มาของข้อมูล
จิ๊กกะบึ่ม sr 400



วันจันทร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2556

ทดสอบการสร้างบทความครั้งที่ 1



  รถยนต์ถือเป็นปัจจัยที่ 5 ที่ใช้สำหรับในการเดินทางหรือที่เราๆเข้าใจกันว่า เป็น “ พาหนะ ”
การที่ใช้รถยนต์สำหรับการเดินทางหาเป็นเช่นนั้นอย่างเดียวไม่  จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบำรุงรักษาควบคู่กันไปอีกด้วย ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยจะได้ถูกใช้งานก็ตาม การที่ได้ซื้อรถยนต์นั้นก็เพื่อการใช้งานคงเป็นไปไม่ได้ที่จะจอดไว้เฉยๆหรือมีการปล่อยปะละเลยกันนะครับ  ทางผู้ผลิตรถยนต์ได้วิเคราะห์มาเป็นอย่างดีแล้วว่า การที่มีการบำรุงรักษาตรงตามระยะที่กำหนด จะช่วยให้รถยนต์มีความสมบูรณ์พร้อมทุกเวลาของการใช้งาน  จึงถือเป็นเรื่องที่จำเป็นครับ จึงได้กำหนดระยะเวลา(เดือน) กับระยะทาง(กิโลเมตร) ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาใดถึงก่อนก็ตาม  จะต้องมีการเปลี่ยน, การตรวจเช็ค, การปรับแต่ง และอื่นๆ  ดังนั้นท่านเจ้าของรถไม่ควรละเลย  ถึงแม้ว่าจะใช้รถยนต์น้อยก็ตาม
     การใช้รถยนต์ได้อย่างเต็มที่และถูกต้องจะเกิดความคุ้มค่าอย่างยิ่ง แต่ก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกันตรงที่ว่า  มีรถยนต์ใช้ในยามจำเป็นเท่านั้นหรือเอาไว้สำหรับเดินทางยามพักผ่อนท่องเที่ยว  แต่ถึงกระนั้นในเมื่อไม่ใช้ก็ได้มีการติดเครื่องยนต์เป็นประจำ  การกระทำดังกล่าวถือว่าดีในระดับหนึ่งเท่านั้นแต่ไม่ได้ครอบคลุมถึงตัวรถยนต์ทั้งหมดครับ  เพราะจะได้ในส่วนหลักของเครื่องยนต์เท่านั้น  ส่วนประกอบอื่นๆหรือกลไกอื่นๆไม่ได้มีการทำงานแต่อย่างใดครับ  ดังนั้น  ทางที่ดีควรให้ชิ้นส่วนอื่นมีการเคลื่อนไหวบ้างก็จะดียิ่งขึ้นและนั่นเป็นสิ่งที่ท่านเจ้าของรถยนต์ไม่ควรมองข้ามกันนะครับ
   สมมุติว่ามีรถยนต์แล้วไม่ค่อยได้ขยับเขยื้อนไปไหนสิ่งที่ถูกผลกระทบเป็นอันดับต้นๆคือ ยางล้อรถยนต์  เพราะเป็นส่วนที่น้ำหนักของรถยนต์ทั้งหมดกดทับเอาไว้  ทำให้โครงสร้างของยาง  อาจจะมีการเสียรูปได้  ถัดมาก็พวกเกียร์และเฟืองท้าย, ลูกปืนต่างๆ,กลไกของระบบเบรก เป็นต้น 
ขอยกตัวอย่างในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ  ซึ่งในคู่มือมีการระบุไว้ว่าจะต้องมีการใช้งานสำหรับขับเคลื่อนสี่ล้ออย่างน้อยเดือนละประมาณ 18 กิโลเมตร  เพื่อให้กลไกมีการทำงานบ้าง  ความสมบูรณ์จะได้พร้อมทุกสถานการณ์  บางท่านอาจมองว่าโอกาสใช้งานแทบไม่มีเลย  ตรงจุดนี้ถึงแม้มิได้ถูกใช้งานแต่เมื่อครบระยะเวลาตามกำหนด  ก็ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์และเฟืองท้ายอยู่ดีนั่นเองครับ
     มีคำพูดกันอยู่บ่อยๆว่า “ใช้รถยนต์น้อยไปก็ไม่ดี  ใช้รถยนต์มากไปก็โทรมเร็ว”  อันนี้ต้องขอบอกว่าเป็นกฎแห่งธรรมชาติอยู่แล้วครับ  สิ่งที่ท่านเจ้าของรถควรเอาใจใส่คือ ให้รถยนต์ของท่านมีการบำรุงรักษาตามที่กำหนด (ถ้าหากใช้คำว่านำรถเข้าซ่อมดูจะมีความรุนแรงเกินไปหน่อยครับ)  ซึ่งรายละเอียดต่างๆศึกษาได้จากคู่มือการใช้รถหรือสามารถสอบถามไปยังศูนย์บริการรถยนต์นั้นๆก็ย่อมได้ครับ
     ขอกลับไปยังผู้ที่ใช้รถยนต์น้อยหรือแทบจะจอดไว้เฉยๆ ต้องขอบอกว่า  ควรจะมีการเคลื่อนไหวรถยนต์บ้าง  หากพบสิ่งที่ผิดปกติจะได้ทราบไปในคราวเดียวกันนั่นเองครับ  นอกจากนั้นถ้าเป็นไปได้ให้ตรวจสอบชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่างๆของรถยนต์ด้วย  เอาเท่าที่สามารถที่กระทำได้ก็แล้วกัน  เช่น  มีสิ่งใดที่ผิดปกติที่อยู่ใต้ท้องรถยนต์บ้าง, มีสิ่งใดที่ผิดปกติบริเวณในห้องเครื่องยนต์บ้าง, รวมถึงระดับน้ำและน้ำมันต่างๆ  ก็จะดียิ่งขึ้นครับ
     เคยมีข่าวที่เกี่ยวกับรถยนต์มาเล่าสู่กันฟังดังนี้ครับ  มีรถยนต์คันหนึ่งมีการจอดรถยนต์ไว้ไม่นานแล้วจู่ๆจะมีการใช้รถกลับพบว่า  สตาร์ทไม่ติดทั้งๆที่  กำลังไฟของแบตเตอรี่ดี, มอเตอร์สตาร์ทก็ทำงานสมบูรณ์ดี, น้ำมันเชื้อเพลิงก็มี  จึงได้ทำการตรวจเช็คลงลึกลงไปพบว่า  เจ้ามดตัวน้อยๆมีการเข้าไปอยู่อาศัยกันเป็นจำนวนมากในตัวรีเลย์  ทำให้เกิดการลัดวงจรการต่อเนื่องของระบบจึงขาดหายไป  มีอีกอันหนึ่งแต่อันนี้อาจจะหวาดเสียวหน่อยตรงที่ว่า  มีสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูมาหลับนอนในห้องเครื่องยนต์  กว่าจะทราบก็ต่อเมื่อมีการติดเครื่องยนต์แล้ว คือได้สังเกตเสียงแปลกๆเมื่อเปิดฝากระโปรงห้องเครื่องยนต์แทบผงะ  ตามที่บอกว่าถ้าเป็นไปได้ให้ตรวจสอบบริเวณห้องเครื่องยนต์ก็ด้วยเหตุผลนี่แหละครับ  อย่ามองข้ามกันนะครับ
   สิ่งที่ท่านเจ้าของรถยนต์เอาใจใส่ดูแลรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ  ก็เพื่อรถยนต์ของท่านพร้อมใช้ทุกเวลา  ดังนั้น รถยนต์ของท่านผู้อ่านไม่ว่าจะถูกใช้งานน้อยหรือมากก็ควรมีการบำรุงรักษาอย่างเคร่งครัดแล้วจะพบกับความสมบูรณ์ในรถยนต์ของท่านครับผม

ที่มาของข้อมูล
บริษัท  พิธานพาณิชย์  จำกัด ( กรุงเทพฯ )

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

TEST : ประวัติวันคริสมาสต์



 คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม